คำสั่งข้อสอบมีทั้งหมด
7 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ห้ามลอกกันเขียนคำตอบโดยใช้สำนวนเหมือนกันถือว่ามิใช่ความคิดของนักศึกษาเอง
ปรับให้ตกทั้งคู่ ข้อละ 10 คะแนน
1. กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา
มีที่มาความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบายพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างประกอบอย่างย่อ ๆ
ให้ได้ใจความพอเข้าใจ.
ตอบ กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา
มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน ในส่วนที่มีความเหมือนกัน คือ เป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับจากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ
เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น
ๆ จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ ส่วนที่แตกต่างกัน คือ
กฎหมายทั่วไปจะเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมพฤติกรรม ไม่ให้เกิดการกระทำผิด
หากมีการฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษ ตัวอย่างเช่น
แดงต้องการฆ่าดำ แดงรู้ว่าดำตื่นตอน 8 โมง
และต้องดื่มน้ำที่มีผู้นำมาวางไว้ข้างเตียงทุกเช้า แดงนำน้ำผสมยาพิษไปวางตอน 7 โมง
ดำตื่นมา 8 โมง ดื่มน้ำนั้นตาย แดงวางเองเป็นผู้กระทำความผิดด้วยตนเองแดงจะต้องได้รับโทษตามข้อกำหนดของกฎหมาย
ส่วนกฎหมายการศึกษา จะเป็นกฎหมายที่ มุ่งไปสู่การพัฒนาคน พัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง ธำรงไว้ซึ่งอิสรภาพ
เสรีภาพของบุคคลละประเทศชาติ ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองไม่ส่งเด็กเข้าเรียน ตามที่กฎหมายกำหนดนั้นผู้ปกครองจะต้องถูกลงโทษโดยปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
2. รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา มีสาระหลักที่สำคัญอย่างไร
ในประเด็นอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับ
การศึกษา ยกตัวอย่างประกอบ พอเข้าใจ
(รัฐธรรมนูญตั้งแต่แต่ฉบับแรกถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2550)
ตอบ
สรุปสาระสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ละฉบับที่เกี่ยวกับการศึกษา พบว่า
นับตั้งแต่ได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขึ้นและมีการปรับปรุงแก้ไขในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ได้มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เสรีภาพ การศึกษาอบรมให้กับ
เด็กและเยาวชนให้เป็นผู้มีความสมบรูณ์ทั้งทางร่างกายจิตใจ สติปัญญา
คุณธรรมจริยธรรม โดยมีแนวทางในการจัดการศึกษา
รัฐจะต้องจัดการศึกษาและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้
คู่คุณธรรมเช่นกัน
และจัดการศึกษาภาคบังคับให้เข้ารับการศึกษาอบรมโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
สำหรับการศึกษาภาคบังคับ ต่อมาได้เพิ่มเติมจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12
ปีรัฐจะต้องจัดอย่างทั่ว ถึงและมีคุณภาพ
พร้อมทั้งจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติหรือเรียกชื่อว่า “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติขึ้น”
3. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ มีกี่มาตรา และมีความสำคัญอย่างไร
และประเด็นหรือมาตราใดที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ
4. ท่านเข้าใจว่า
หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้มีความผิดหรือบทกำหนดโทษอย่างไร
ถ้าได้จะต้องกระทำอย่างไรมิให้ผิด ตามพระราชบัญญัตินี้
ตอบ สามารถปฎิบัติการสอนได้
แต่จะต้องมีคุณสมบัติตามที่คุรุสภาได้กำหนดไว้ คือ
คุณสมบัติการพิจารณาอนุญาต
ผู้ที่จะขอเข้าประกอบวิชาชีพครู
โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี
2. มีคุณวุฒิตามข้อใดข้อหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(1)
มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า
(2)
มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ที่
ก.ค.ศ.รับรอง
ซึ่งกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครู และเป็นวุฒิปริญญาในสาขาที่สอดคล้องกับระดับชั้นที่เข้าสอน
ตามที่คุรุสภากำหนด ยกเว้นโรงเรียนในพระราชดำริ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
โรงเรียนโครงการพิเศษต่างๆ ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด
และมีคะแนนเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป โรงเรียนถิ่นทุรกันดาร หรือโรงเรียนเสี่ยงภัย
ตามประกาศของทางราชการ
และจัดให้มีการอบรมในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนเบื้องต้นด้วย
3.
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 44
แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
เงื่อนไขการอนุญาต
1. สถานศึกษาชี้แจงเหตุผลความจำเป็น
หรือความขาดแคลน ต้องรับบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
2.
สถานศึกษาจะต้องแนบประกาศการรับสมัครและการสรรหาบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
3.
สถานศึกษาจะต้องแนบคำสั่งของคณะกรรมการของสถานศึกษาในการคัดเลือกบุคคลเข้าประกอบชาชีพครู
4. สถานศึกษาต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะราย
ผ่านต้นสังกัด
โดยจะต้องปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตเท่านั้น
ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษา
5. ระยะเวลาการอนุญาตครั้งละไม่เกิน ๒
ปี และต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต่อไป
6.
หากผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ฝ่าฝืนจรรยาบรรณของวิชาชีพ หรือปฏิบัติการสอนผิดเงื่อนไข หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไขการอนุญาต การอนุญาตดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด
5. สมบัติ เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง
ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน
หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จะต้องทำอย่างไร และมีบทลงโทษอย่างไร
ตอบ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น
ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่
ห้ามไม่ให้ผู้ใดกระทำการกระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับโทษตามมาตรา 78 ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
6. ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม 2 และในเทอมต่อไป นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง
นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้โดยกำหนดคนละ 2
ประเด็นที่คิดว่าจะนำกฎหมาย ไปใช้ได้
พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ 1) การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยมีการจัดการเรียนการสอนยึดหลักที่ว่าผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้
และสามารถพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ตัวอย่างเช่น
1. มีการจัดเนื้อหาที่สอดคล้องกับความสนใจ
ความถนัดของผู้เรียน
2. ให้มีการเรียนรู้จากประสบการณ์และฝึกนิสัยรักการอ่าน
3. จัดให้มีการฝึกทักษะกระบวนการและการจัดการ
4. มีการผสมผสานเนื้อหาสาระด้านต่างๆ
อย่างสมดุล ปลูกฝังคุณธรรม
5. จัดการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และรอบรู้
6. จัดให้มีการเรียนรู้ได้ทุกเวลา
ทุกสถานที่ และให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ด้วย
2) ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนเป็นสำคัญ
จะต้องประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง โดยมีการใช้วิธีการประเมินผู้เรียนหลากหลาย วิธี
ได้แก่ การสังเกตพฤติกรรมการเรียนและการร่วมกิจกรรม การใช้แฟ้มสะสมงาน การทดสอบ
การสัมภาษณ์ ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอน เป็นต้น
7. ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดการใช้ เว็บล็อก (weblog) ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนวิชานี้ พอสังเขป
ตอบ วิชากฎหมายการศึกษา สำหรับดิฉันคิดว่าเป็นวิชาที่เน้นให้เราได้เรียนเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องของข้อตกลงหรือข้อบังคับต่างๆของกฎหมายที่เราควรรู้
ซึ่งในรายวิชานี้ก็จะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่สำคัญค่อนข้างเยอะ
และสอดคล้องกับยุคสมัยใหม่นี้เป็นยุคของเทคโนโลยี ในการนำเว็บล็อก (weblog)มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนดิฉันเห็นด้วยว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการเรียนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ทั้งนี้เนื้อหาที่ได้สรุปไว้เราสามารถที่จะกลับไปศึกษาใหม่ได้ตลอดเวลา
และนอกจากนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการสร้างเว็บล็อก (weblog)ซึ่งต่อไปข้างหน้าเมื่อเราไปเป็นครูเราสามารถที่จะนำเว็บล็อก (weblog)ไปประยุคใช้ในการนำไปสอนเด็กได้จริง